byCryptodrilling TeamOctober 17, 2023
การขุดบิทคอยน์คืออะไร รวมทุกเรื่องที่นักขุดต้องรู้ครบจบในที่เดียว
เจาะลึกไปในโลกของการขุดบิทคอยน์ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์, กระบวนการ, อุปกรณ์ และอื่น ๆ คู่มือการขุดบิทคอยน์ที่ครบที่สุด

บทนำ

ในโลกของสกุลเงินดิจิทัล บิทคอยน์ยังคงเป็นคริปโตอันดับหนึ่งตลอดกาลในใจหลายๆคน โดยที่หัวใจของระบบบิทคอยน์นั้นก็คือกระบวนการขุดบิทคอยน์ ซึ่งหากจะเทียบแล้วการขุดบิทคอยน์นั้นก็มีความคล้ายกับการขุดทองในโลกจริง (ถึงแม้จะมีความซับซ้อนกว่าการขุดทองแบบปกติก็ตาม)

การขุดบิทคอยน์นั้นมีความสำคัญมากต่อระบบบิทคอยน์ นักขุดมีบทบาทในการตรวจสอบและบันทึกธุรกรรมทุกธุรกรรม รับรองความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ในขณะเดียวกัน พวกเขายังเป็นผู้ที่นำบิทคอยน์ใหม่เข้าสู่ตลาด รักษาการไหลเวียนของบิทคอยน์ หากไม่มีการขุดระบบบิทคอยน์ที่คนทั่วโลกใช้อยู่ปัจจุบันจะไม่สามารถคงอยู่ต่อไปได้เลย ในบทความนี้เราจะมาอธิบายแบบเจาะลึกเกี่ยวกับการขุดบิทคอยน์

การขุดบิทคอยน์คืออะไร

การขุดบิทคอยน์ ในหลักการแล้วคือกระบวนการที่สำคัญที่นำบิทคอยน์ใหม่เข้ามาในระบบหมุนเวียน หากจะเปรียบเทียบ มันจะคล้ายกับคนขุดทองที่ค้นหาทองจากดิน แต่แทนที่จะใช้การขุดเจาะจริงๆ คนขุดบิทคอยน์ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนแทน

ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเรียกการขุดบิทคอยน์ว่า 'การขุด' เพราะกระบวนการทางดิจิทัลนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกจริง การขุดบิทคอยน์และการขุดทองยังคงมีความคล้ายคลึงในอีกหลายๆมุมมอง เช่น คนขุดทองใช้ความพยายามในการสกัดทอง นำมันขึ้นมายังผิวดิน คนขุดบิทคอยน์ก็ลงทุนในพลังงานคำนวณเพื่อ 'ขุด' บิทคอยน์ใหม่จากความซับซ้อนของอัลกอริทึม และเนื่องจากทั้งทองและบิทคอยน์เป็นทรัพยากรที่จำกัด, และกระบวนการสกัดหรือ 'การขุด' นั้นก็มีความยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา

บทบาทของคนขุดในเครือข่ายบิทคอยน์มีหลายด้าน นอกจากการสร้างบิทคอยน์ใหม่แล้ว พวกเขายังเป็นผู้คุ้มครองความปลอดภัยของเครือข่าย ด้วยการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เหล่านี้ คนขุดจะตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมทุกธุรกรรมที่ทำในเครือข่าย ความพยายามในคำนวณของพวกเขาทำให้แน่ใจว่าธุรกรรมบิทคอยน์ทุกธุรกรรมถูกบันทึกไว้ในบล็อกเชน โดยที่คนขุดจะได้รับรางวัลเป็น block reward และ transactions fee

Blockchain และความเกี่ยวข้องกับการขุดบิตคอยน์

บล็อกเชนคือเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึ่งประกอบด้วย "Block (บล็อก)" ที่เชื่อมต่อกันโดยใช้วิธีการเข้ารหัสทางคณิตศาสตร์ แต่ละบล็อกจะมีรายการธุรกรรมที่ถูกยืนยันและเพิ่มเข้าไปในเชน (Chain) โดยนักขุดผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "Proof of Work" หรือ PoW ในโลกของบิตคอยน์ นักขุดแข่งกันในการแก้ปัญหาเข้ารหัสทางคณิตศาสตร์ และผู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นคนแรกจะเพิ่มบล็อกใหม่เข้าไปในบล็อกเชน และได้รับบิตคอยน์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นรางวัล สิ่งนี้ทำให้บล็อกเชนไม่เพียงแค่ยืนยันและบันทึกธุรกรรมบิตคอยน์เป็นถาวรเท่านั้น แต่ยังรับประกันความโปร่งใส ความไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และความปลอดภัยของเครือข่าย พูดง่ายๆคือ บล็อกเชนเป็นรากฐานที่สำคัญของบิตคอยน์ ในขณะที่นักขุดเป็นผู้ดูแลรักษาความน่าเชื่อถือและความเสถียรของระบบ

Hashrate คืออะไรในการขุด Bitcoin

Hashrate นั้นเป็นหน่วยวัดกำลังการขุดของอุปกรณ์ ยิ่งมีค่าสูงขึ้นก็แสดงว่าเรามีโอกาสขึ้นได้มากขึ้น หน่วยของการวัดคือ Hashes per second (H/s) สำหรับนักขุด การมี Hashrate ที่สูงจะเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาบล็อก ซึ่งนำไปสู่การได้รับรางวัลมากขึ้นนั่นเอง

หากมองถึงความปลอดภัยและความมั่นคงของเน็ตเวิร์คบิทคอยน์ การมี Hashrate รวมในเครือข่ายที่สูงแสดงถึงความปลอดภัยของระบบบิทคอยน์ ระบบที่มี Hashrate ที่สูงทำให้เครือข่ายมีความต้านทานต่อการโจมตีมากขึ้น เพราะผู้โจมตีจะต้องมี Hashrate มากกว่า 50% ของเครือข่ายเพื่อทำให้การโจมตีสำเร็จ สำหรับผู้ขุด การเข้าใจ Hashrate เป็นสิ่งสำคัญซึ่งมีผลต่อการได้รับกำไรและเป็นแนวทางในการเลือกฮาร์ดแวร์

ตัวอย่างหน่วยวัดของของเครื่องขุด:

  • 1 kH / s คือ 1,000 แฮชต่อวินาที
  • 1 MH / s คือ 1,000,000 แฮชต่อวินาที
  • 1 GH / s คือ 1,000,000,000 แฮชต่อวินาที
  • 1 TH / s คือ 1,000,000,000,000 แฮชต่อวินาที

Hashrate คืออะไรตารางหน่วนของ Hashrate สำหรับบิทคอยน์

กระบวนการของการขุดบิทคอยน์

กระบวนการขุดบิทคอยน์ เป็นการผสมผสานระหว่างการเข้ารหัส, คณิตศาสตร์ และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ มาดูขั้นตอนนี้ทีละขั้นกัน

  1. Initiation of a Transaction (การเริ่มต้นธุรกรรม): เมื่อมีคนส่งบิทคอยน์ไปยังผู้ใช้อีกคนหนึ่ง ธุรกรรมนี้จะถูกบันทึกรวมกับธุรกรรมอื่น ๆ ในสิ่งที่เรียกว่า "บล็อก" บล็อกใหม่นี้ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของบัญชีรายการอย่างเป็นทางการ (บล็อกเชน) มันจะรออยู่ในคิว (หรือที่เรียกว่า Mempool) เพื่อที่จะได้รับการตรวจสอบและเพิ่มเข้าไปใน Blockchain
  2. Validation Race (การแข่งขันในการตรวจสอบ): นี่คือที่ที่นักขุดเข้ามามีบทบาท หน้าที่ของนักขุดคือการตรวจสอบบล็อกของธุรกรรม พวกเขาทำการตรวจสอบโดยการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับบล็อก โดยมุ่งหาตัวเลขเฉพาะ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ต้องใช้ทักษะ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้โอกาสและพลังคำนวณที่สูง (การตรวจสอบบล็อคมีความซับซ้อน ซึ่ง Cryptodrilling จะมีการอธิบายขั้นตอนนี้อย่างละเอียดในบทความต่อๆไป)
  3. Proof-of-Work (PoW): การแข่งขันที่กล่าวถึงข้างต้นถูกควบคุมโดยกลไก Proof-of-Work. PoW ต้องการให้นักขุดพิสูจน์ว่าพวกเขาได้ใช้ความพยายามคำนวณ (Hashrate) เพื่อแก้ปัญหาการตรวจสอบธุรกรรม นักขุดคนแรกที่แก้ปัญหาได้จะประกาศ Solution และกระจาย Solution นี้ไปทั่วเน็ตเวิร์คเพื่อรับการยืนยันจากคนอื่นๆในเน็ตเวิร์ค
  4. Network Verification (การตรวจสอบของเครือข่าย): ผู้เข้าร่วมอื่น ๆ ในเครือข่ายบิทคอยน์จะตรวจสอบ Solution ที่นักขุดคนแรกประกาศออกมา หากได้รับการยินยอมจากเสียงส่วนใหญ่ บล็อกนั้นจะถือว่าได้รับการ 'แก้ไข' แล้ว
  5. Incorporation into the Blockchain (การรวมเข้ากับบล็อกเชน): หลังจากการตรวจสอบเรียบร้อย บล็อกจะถูกต่อท้ายเข้ากับบล็อกเชน การดำเนินการในการเพิ่มบล็อกนี้ไม่สามารถย้อนกลับได้ สิ่งนี้รับรองว่าทุกธุรกรรมภายในบล็อกถูกบันทึกอย่างถาวร
  6. Rewarding the Miners (การตอบแทนนักขุด): นักขุดที่ประสบความสำเร็จ (หรือสระขุดที่ประสบความสำเร็จ) จะได้รับจำนวนบิทคอยน์ที่สร้างขึ้นใหม่ รางวัลนี้ทำหน้าที่เป็นทั้งแรงจูงใจและวิธีการนำเข้าเหรียญใหม่เข้าสู่ระบบ

วิวัฒนาการของการขุดบิทคอยน์

การขุดบิทคอยน์นั้นมีการวิวัฒนาการ การปรับตัว และการนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเริ่มต้นที่เรียบง่ายจนถึงการมีผู้เล่นขนาดใหญ่เข้ามาในตลาดอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

  1. Difficulty (ความยากในการขุด): ในการขุด Bitcoin "ความยาก" หมายถึงว่ามันยากขนาดไหนในการค้นหาบล็อกใหม่ ระบบคำนวน Difficulty เป็นการการันตีว่าบล็อกใหม่จะถูกเพิ่มเข้าไปในบล็อกเชนประมาณทุก 10 นาที ไม่ว่าพลังการคำนวณทั้งหมดของเครือข่ายสูงขนาดไหน ทุกๆสองสัปดาห์ ระบบ Bitcoin จะปรับความยากนี้ขึ้นอยู่กับ Hashrate ของเครือข่าย ถ้าการขุดเพิ่มขึ้นและบล็อกถูกค้นพบอย่างรวดเร็ว ความยากจะเพิ่มขึ้น ถ้าการขุดช้าลง ความยากจะลดลง กลไกการปรับตัวเองนี้รักษาความเสถียรของเครือข่ายและป้องกันไม่ให้เหมืองใดเหมืองหนึ่งครอบงำ การเข้าใจความยากเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักขุดบิทคอยน์ เนื่องจากมันมีผลต่ออัตราความสำเร็จและรางวัลที่จะได้รับ
  2. การเปลี่ยนเครื่องมือขุดจาก CPUs ไปยัง GPUs และ ASICs: ในช่วงเริ่มต้นของบิทคอยน์ เมื่อ Satoshi Nakamoto ขุดบล็อกแรกในปี 2009, การขุดเป็นงานที่ง่ายและตรงไปตรงมา ผู้คนที่มีความสนใจในช่วงแรกสามารถขุดด้วย หน่วยประมวลผลกลาง (CPUs) ของคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพวกเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ชุมชนบิทคอยน์มีขนาดเล็ก และรางวัลเข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักขุดทุกคน

    แต่เมื่อเครือข่ายเติบโตและมีนักขุดเข้าร่วมมากขึ้น การแข่งขันก็เพิ่มขึ้น และความต้องการในอุปกรณ์ขุดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกลายเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้ ผู้คนจึงหันไปใช้ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เล่นเกมส์ เนื่องจาก GPUs มีความสามารถในการประมวลผลแบบขนาน และมีประสิทธิภาพมากกว่าในการแก้ปัญหาสำหรับการขุด

    แต่การแข่งขันไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ ในช่วงต้นปี 2010 เครื่องขุด ASIC ก็ปรากฏขึ้น อุปกรณ์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการขุดโดยเฉพาะ ประสิทธิภาพของเครื่อง ASIC มีประสิทธิภาพกว่า GPUs มาก แต่ก็เพิ่มขีดจำกัดการเข้าร่วมสำหรับนักขุดใหม่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงขึ้น
  3. การกำเนิดของสระขุด (Mining Pool): ตามที่ความซับซ้อนของการขุดที่เพิ่มขึ้น และเมื่อ ASICs เริ่มเป็นที่นิยม การขุดแบบเดี่ยวๆ (Solo Mining) เริ่มมีความเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะโอกาสแก้ไขบล็อกได้เปรียบเสมือนการชนะในการจับฉลากรางวัลที่หนึ่ง สิ่งนี้นำไปสู่การสร้าง สระขุด (Mining Pool) ในพูลเหล่านี้ นักขุดแต่ละคนรวมทรัพยากรการคำนวณของพวกเขาเพื่อเพิ่มโอกาสในการแก้ไขบล็อก เมื่อสระประสบความสำเร็จ รางวัลจะแบ่งจ่ายให้กับสมาชิก ตามสัดส่วนของพลังการคำนวณที่แต่ละคนมี
  4. การลดครึ่ง (Halving) และการลดลงของ Block Reward: ในตอนเริ่มต้น เมื่อนักขุดเพิ่มบล็อกในบล็อกเชน พวกเขาจะได้รับรางวัล 50 บิทคอยน์ แต่ดีไซน์ของบิทคอยน์มีกลไกที่มีลักษณะเสื่อมค่าตั้งแต่แรก ประมาณทุกๆสี่ปี (หรือจริงๆแล้วทุกๆ 210,000 บล็อก) รางวัลนี้จะถูกลดลงครึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "การลดครึ่ง (Halving)" ในปี 2012 รางวัลลดลงเหลือ 25 บิทคอยน์ต่อบล็อก และเหลือ 12.5 ในปี 2016 และ 6.25 ในปี 2020 โดยที่ปี 2024 รางนี้จะถูกลดลงเหลือ 3.15 BTC กลไกนี้รับรองว่าจะมีบิทคอยน์เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้นในระบบ โดยมีการประเมินว่าบิทคอยน์ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญจะถูกขุดหมดในปี 2140

ฮาร์ดแวร์ในการขุดบิทคอยน์

เครื่องขุด ASIC ได้กลายเป็นมาตรฐานในการขุดบิทคอยน์เนื่องจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ GPUs หรือ CPUs เทียบไม่ได้ ASICs ถูกออกแบบมาเพื่อการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะ ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพสูงในงานนี้ โดยที่ทีม Cryptodrilling ได้มีการนำเสนอแบรนด์ผู้ผลิต ASIC มาให้ดูกันสามแบรนด์ (หากมีแบรนด์ไหนที่น่าสนใจสามารถ ติดต่อเราเข้ามาเพื่อให้เรารีวิวเพิ่มได้):

  • Bitmain: มีชื่อเสียงสำหรับซีรีส์ Antminer บริษัท Bitmain เป็นที่รู้จักกันดีในวงการการผลิตเครื่อง ASIC
  • Microbt: ผู้เล่นอีกคนที่สำคัญ Microbt เป็นผู้ผลิตเครื่อง Whatsminer
  • Canaan: เป็นผู้ผลิตเครื่องซีรีส์ Avalon Miner

ซอฟต์แวร์ในการขุดบิทคอยน์

ในขณะที่ฮาร์ดแวร์ให้กำลังการขุด โปรแกรมขุดบิทคอยน์เป็นผู้บริหารจัดสรรกระบวนการ ทำหน้าที่เป็นสะพานระหว่างฮาร์ดแวร์และเครือข่ายบิทคอยน์, ซอฟต์แวร์เช่น CGMiner, BFGMiner, EasyMiner และ BitMinter ช่วยในการสื่อสาร จัดการการจัดสรรงาน และให้ตัวเลขการดำเนินการที่สำคัญ การเลือกซอฟต์แวร์ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ของนักขุด แพลตฟอร์มการทำงาน และคุณสมบัติที่ต้องการ แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร การอัปเดตที่สม่ำเสมอยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปรับตัวตามการพัฒนาของเครือข่ายและรักษาความปลอดภัย

ความคุ้มค่าในการขุด Bitcoin

การขุด Bitcoin เป็นการลงทุนที่ต้องคำนวณมาอย่างรอบคอบ ซึ่งกำไรที่คาดหวังไว้จะต้องนำมาเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ประเมินได้ ความคุ้มค่าในการขุด Bitcoin ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ในส่วนนี้เราจะมาทำความเข้าใจส่วนประกอบเหล่านี้เพื่อความสมดุลที่นักขุดต้องรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีกำไร และนี่คือบางปัจจัยที่ส่งผลต่อความคุ้มค่า:

  • ต้นทุนการใช้ไฟฟ้า: การขุดต้องการพลังงานมาก แม้ว่า ASICs จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังใช้ไฟฟ้ามาก ในพื้นที่ที่ราคาไฟฟ้าแพง ต้นทุนค่าไฟสามารถสูงเกินกำไรได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน นักขุดที่ทำงานในพื้นที่ที่ไฟฟ้าถูกกว่าจะมีข้อได้เปรียบมาก
  • ต้นทุนฮาร์ดแวร์: ต้นทุนเริ่มต้นในการจัดหาอุปกรณ์การขุดนั้นอาจจะมีราคาสูง (โดยเฉพาะ ASICs) ระยะเวลาที่ใช้ในการคืนทุนลงทุนเริ่มต้น (ROI) มีความสำคัญในการกำหนดความคุ้มค่า
  • ราคา Bitcoin: ราคาบิทคอยน์มีความผันผวน หากราคา Bitcoin ขึ้นหลังจากที่นักขุดสะสมเหรียญ สิ่งที่พวกเขาถือครองอาจมีค่ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การตกของราคาอาจมีผลตรงกันข้าม โดยเฉพาะถ้าต้นทุนการขุดยังคงเดิมหรือเพิ่มขึ้น
  • ความยากในการขุด (Difficulty): เครือข่าย Bitcoin ปรับความยากทุกๆ 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับจำนวนนักขุด และความแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากความยากเพิ่มขึ้น นักขุดก็ต้องการพลังคำนวณที่มากขึ้นเพื่อขุด Bitcoin ในปริมาณเดียวกัน
  • รางวัลบล็อก: ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ Bitcoin มีกลไกในการ Halving ซึ่งลดรางวัลที่นักขุดได้รับครึ่งนึงสำหรับแต่ละบล็อกที่พวกเขาขุด
  • ต้นทุนการดำเนินงาน: นอกเหนือจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนอื่นๆมีตั้งแต่การทำความเย็น (เครื่องขุดบิทคอยน์ที่รันตลอด 24 ชั่วโมงจะผลิตความร้อนที่ต้องระบายออกมาเยอะมาก) การบำรุงรักษา และต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน

เนื่องจากความซับซ้อนที่กล่าวมาข้างต้น มีผู้ที่สร้างเครื่องคิดเลขการขุดมาหลายอันเพื่อที่จะช่วยให้นักขุดสามารถประเมินรายได้และค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น โดยที่นักขุดสามารถป้อนพารามิเตอร์ต่าง ๆ เช่น ต้นทุนการใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ การลงทุนเริ่มต้น ราคา Bitcoin ปัจจุบัน และอื่น ๆ เพื่อประมาณการกำไรหรือขาดทุนที่เป็นไปได้

การขุด Bitcoin ไม่ได้การันตีกำไรสำหรับนักขุดเสมอไป นักขุดที่มีความสนใจต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ การวางแผนอย่างรอบคอบ และการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามเทรนคริปโตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

การขุด Bitcoinและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงโลก ได้รับการยกย่องสำหรับศักยภาพในการ disrupt ระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การเติบโตของบิทคอยน์ไม่ได้ปราศจากความกังวล โดยเฉพาะในด้านการกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานที่มหาศาลและ Carbon Footprint ของการขุด Bitcoin ได้กลายเป็นจุดเน้นของการอภิปรายระหว่างผู้สนับสนุน ผู้วิจารณ์ และนักสิ่งแวดล้อม โดยในจุดนี้ Cryptodrilling ได้เคยขึ้นพูดคุยหัวข้อนี้ในงาน Bitcoin Conference Thailand ซึ่งสามารถดูในรูปแบบของวีดีโอได้ที่ลิ้งค์นี้

  1. การใช้พลังงานในการขุด: การขุดเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก เครือข่ายนักขุดทั่วโลกใช้ไฟฟ้าในระดับที่เทียบเท่ากับประเทศบางประเทศได้เลย ฮาร์ดแวร์ขุดบิทคอยน์ที่มีประสิทธิภาพสูงนั้นทำงานตลอดเวลา และต้องการพลังงานมาก บางรายงานได้แสดงให้เห็นว่าการใช้พลังงานของเครือข่าย Bitcoin เทียบเท่าหรือเกินกว่าประเทศเช่น อาร์เจนตินาหรือเนเธอร์แลนด์ การเปรียบเทียบเหล่านี้ระบุถึงความต้องการพลังงานที่มหาศาลของเครือข่าย Bitcoin
  2. Carbon Footprint: ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการขุด Bitcoin นั้นหลักๆแล้วมาจากแหล่งพลังงานที่ใช้ในการขุด ในช่วงเริ่มต้นการขุด Bitcoin นั้นกระจุกตัวอยู่ในแหล่งที่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก เช่น ในบางจังหวัดของประเทศจีน การรวมกลุ่มทางภูมิศาสตร์เช่นนี้ ทำให้ Carbon Footprint ของการขุด Bitcoin สูงขึ้น และทำให้ได้รับการวิจารณ์อย่างมาก

    นักสิ่งแวดล้อมวิจารณ์ว่าในยุคที่โลกควรมุ่งเน้นลดการปล่อยคาร์บอนและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดำเนินงานที่ใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากเช่นการขุด Bitcoin โดยเฉพาะที่ใช้พลังงานที่ไม่สะอาด ถือเป็นการทำงานที่ไม่สมเหตุสมผล การวิจารณ์ยังขยายตัวไปถึงมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับจาก Bitcoin โดยที่มีการวิจารณ์ว่าสิ่งที่ถูกใช้พลังงานไปนั้นไม่มีประโยชน์จริง

    ในอีกด้านหนึ่ง ผู้สนับสนุนยืนยันว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิม ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินงานที่มีลักษณะเป็นทางกายภาพ ก็ใช้พลังงานมากเช่นกัน แต่มักไม่ถูกตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ศักยภาพของ Bitcoin ที่จะกระตุ้นนวัตกรรมในแหล่งพลังงานทดแทนที่สะอาดยังถูกนำเสนอว่าเป็นข้อดี การดำเนินการขุดที่ใช้แหล่งพลังงานทดแทนเช่น ลม แสงอาทิตย์ หรือน้ำ มี Carbon Footprint ที่ต่ำกว่าที่พึ่งพาถ่านหินหรือแหล่งพลังงานสิ้นเปลือง (Non-Renewable Energy)

เมื่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการขุด Bitcoin เริ่มเป็นที่สนใจ อุตสาหกรรมการขุดบิทคอยน์ก็กำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงไปยังแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น พลังงานจากแสงอาทิตย์และลมกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักขุด Bitcoin ซึ่งแสดงถึงการมุ่งมั่นที่มากขึ้นเพื่อความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมในการใช้ Flare gas เพื่อใช้งานการขุด (ในขณะเดียวกันก็ลดการปล่อยแก๊ส Methane ที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศได้) นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมอื่นๆ เช่น การใช้แก๊ส Methane ที่รั่วไหลออกมาจากบ่อขยะ (Landfill Gas) เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้าในการขุดบิทคอยน์ โดยที่ไอเดียการผลิตไฟฟ้าจากการดักเก็บแก๊ส Methane กำลังเป็นสิ่งที่นักขุดทั่วโลกให้ความสนใจ โดยที่ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่นักขุดทั่วโลกให้ความสนใจถึงความเป็นไปได้นี้ ทีม Cryptodrilling จะทำการสำรวจแหล่งพลังงานทางเลือกที่น่าสนใจ และจะนำมานำเสนอในโอกาสต่อไป

อนาคตของการขุด Bitcoin: การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว

Bitcoin นั้นได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ การอัพเดทที่น่าสนใจในช่วงนี้น่าจะเป็นการอัปเกรด Taproot แม้การอัปเกรดครั้งนี้จะไม่ได้มุ่งเน้นตรงไปที่การขุดโดยตรง แต่การได้ทำการปรับแก้โครงสร้างและการตรวจสอบธุรกรรม บ่งบอกถึงลักษณะที่เติบโตได้ของระบบ Bitcoin

ในอนาคต มีการคาดเดาว่าการขุด Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญจะเกิดขึ้นในปี 2140 ณ ปัจจุบันได้มีการขุดเหรียญไปแล้วกว่า 18.5 ล้านเหรียญ โดยที่ผู้คนก็ได้มีการคาดการณ์ว่าค่าธรรมเนียมธุรกรรมจะกลายเป็นแรงจูงใจหลักสำหรับนักขุด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเครือข่ายและความเร็วในการทำธุรกรรม ผลที่ตามมาอาจคือเราอาจจะได้เห็น Bitcoin ที่มีความเสถียร มีความผันผวนน้อยลง และเป็นที่ยอมรับที่กว้างขวางมากขึ้น

บทสรุป

โดยสรุปแล้ว การขุด Bitcoin ไม่ใช่แค่กระบวนการเพียงอย่างเดียว มันเป็นการยืนยันคำสัญญาการกระจายอำนาจของบล็อกเชน ผ่านการตรวจสอบธุรกรรมอย่างเข้มงวดและการสร้างบล็อกใหม่ การขุดช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย Bitcoin ให้ยังคงอยู่ต่อไป เมื่อเราได้ทำความเข้าใจถึงความละเอียดที่ซับซ้อนของกระบวนการนี้ ตั้งแต่กลไกพื้นฐานไปจนถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของการบิทคอยน์ สิ่งนึงที่ชัดเจนคือการขุดยังคงเป็นหัวใจสำคัญของ Bitcoin

อย่างไรก็ตาม การสำรวจของเราเป็นเพียงแค่ขูดพื้นผิวของมันเท่านั้น การขุด Bitcoin ยังมีอีกหลายมิติที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบที่กว้างขวาง ที่ยังรอให้คุณมาค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ละหัวข้อเรียกให้คุณมาค้นหาและเรียนรู้ เราแนะนำสำรวจและค้นหาเพิ่มเติม ผ่านบทความอื่น ๆ ของเรา

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับการขุด Bitcoin

  1. การขุด Bitcoin คืออะไร? การขุด Bitcoin คือกระบวนการที่ Bitcoin ใหม่ถูกนำเข้ามาในการหมุนเวียน และธุรกรรมถูกเพิ่มเข้าไปในบัญชีสาธารณะที่เรียกว่าบล็อกเชน ผู้ขุดใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน และเมื่อแก้ไขได้ บล็อกใหม่จะถูกเพิ่มเข้าไปในบล็อกเชน และผู้ขุดจะได้รับ Bitcoin เป็นรางวัล
  2. การขุดมีส่วนช่วยในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย Bitcoin อย่างไร? การขุดมีผู้ตรวจสอบ (ผู้ขุด) ที่ใช้พลังการคำนวณเพื่อยืนยันธุรกรรมและเพิ่มเข้าไปในบล็อกเชน กลไกการยืนยันผลงานนี้ทำให้มันมีความซับซ้อนและเกือบเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้กระทำการไม่ดีที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติธุรกรรม รับรองความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของเครือข่าย
  3. การขุด Bitcoin ยังมีกำไรอยู่หรือไม่? ความคุ้มค่าของการขุด Bitcoin ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงราคาของไฟฟ้า อุปกรณ์การขุด ราคาตลาดของ Bitcoin และความยากของการขุด ตามที่การแข่งขันมีมากขึ้นและรางวัลลดลงทุกปี การขุดเป็นไปได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยการเตรียมการที่มีประสิทธิภาพและสภาพที่ดี ผู้ขุดบางรายยังคิดว่ามันยังมีกำไร
  4. ทำไม Bitcoin มีขีดจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ? ขีดจำกัด 21 ล้านเหรียญถูกตั้งขึ้นโดยผู้สร้าง Bitcoin ที่มีชื่อว่า Satoshi Nakamoto เพื่อรับรองความหายาก เหมือนกับโลหะมีค่าอย่างทอง การจำกัดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อต่อต้านการเงินเฟ้อ
  5. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Bitcoin ทั้งหมดถูกขุดแล้ว? เมื่อ Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญถูกขุดแล้ว (คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2140) ผู้ขุดจะไม่ได้รับรางวัลบล็อกเนื่องจากไม่มี Bitcoin เพิ่มเติมที่จะรับรางวัล อย่างไรก็ตามพวกเขายังจะได้รับค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรม ซึ่งจะกลายเป็นแรงจูงใจหลักสำหรับผู้ขุดในการยืนยันธุรกรรมและรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย
  6. ฉันขุด Bitcoin บนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของฉันได้หรือไม่? ในช่วงแรกของ Bitcoin การขุดบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเป็นไปได้ แต่ด้วยระดับความยากที่เพิ่มขึ้นตอนนี้จำเป็นต้องมีการคำนวณที่มากขึ้น ในปัจจุบัน อุปกรณ์เฉพาะที่เรียกว่า ASICs ถูกใช้สำหรับการขุด การพยายามขุดบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวไม่เพียงแต่ไม่มีกำไร แต่ยังอาจทำลายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อีกด้วย
  7. การขุด Bitcoin ใช้พลังงานเท่าไหร่? การขุด Bitcoin เป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานเยอะ เนื่องจากมีการคำนวณที่เข้มข้น การใช้พลังงานของมันถูกเปรียบเท่ากับบางประเทศ แต่ปริมาณที่แน่นอนมีการเปลี่ยนแปลงตามประสิทธิภาพของอุปกรณ์การขุดและแหล่งพลังงาน มีการพยายามและการอภิปรายต่อเนื่องในวงการเพื่อค้นหาวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  8. มีสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่สามารถขุดได้หรือไม่? มี นอกจาก Bitcoin ยังมีสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่เรียกว่า "altcoins" ที่สามารถขุดได้ บางสกุลเงินดิจิทัลที่นิยมได้แก่ Ethereum Classic, Litecoin และ Monero แต่ละสกุลเงินมีลักษณะการขุด ความต้องการเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ และปัจจัยความคุ้มค่าของตัวเอง

เริ่มการขุดไปกับ Cryptodrilling

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักขุดที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มต้น Cryptodrilling มีบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการของคุณ

  • พูลขุด hashOS โดยทีม Cryptodrilling: ขุดบิทคอยน์และ LTC/DOGE ด้วยเรทที่ถูกกว่า! พูลเดียวที่มีทีมในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทีม Cryptodrilling พร้อมดูแล คลิ้กที่นี่เพื่อสมัครใช้ hashOS หรือหากยังไม่แน่ใจ อ่านบทความ 7 เหตุผลที่ต้องขุดกับ hashOS ได้ที่นี่!
  • บริการซ่อมเครื่องขุด ASIC: ยืดอายุอุปกรณ์ขุดเหมืองของคุณด้วยบริการซ่อมแซม ASIC ที่เหมืองใหญ่ในไทยเลือกใช้! ทีมงานของเราจะให้บริการให้เครื่องของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณได้ผลตอบแทนสูงสุด อ่านเกี่ยวกับบริการซ่อมของเราเพิ่มเติมได้ที่นี่
  • บริการจัดซื้อ ASIC (สั่งขั้นต่ำ 50 เครื่อง): หากคุณกำลังต้องการขยายกำลังการขุดและต้องการซื้อ ASIC เพิ่ม ทีม Cryptodrilling สามารถช่วยจัดซื้อผ่าน Distributor โดยตรง พร้อมดูแลการขนส่งให้ ติดต่อ Line OA เราได้เลย
  • บริการโฮสติ้งและการจัดหาพลังงาน (ขั้นต่ำ 1MW เท่านั้น): สำหรับเหมืองขนาดใหญ่ เรามีบริการฝากวางเครื่อง และ/หรือการจัดหาพลังงาน โดยที่เรามีบริการตั้งแต่ Turnkey Solution (เอาเครื่องมาเสียบได้เลย) ไปจนถึงการหาแหล่งพลังงาน การสร้าง Infrastructure จัดซื้อ Container (ปัจจุบันเรามีแหล่งพลังงานในสหรัฐอเมริกาและลาว) สำหรับนักขุดขนาดใหญ่ที่มีความสนใจบริการนี้ สามารถติดเราผ่าน Line OA หรืออีเมลมาได้ที่ business@cryptodrilling.com

ช่องทางการติดต่อ

หากมีความต้องการอื่นๆ สามารถติดต่อเราผ่านทางช่องทางอื่นๆได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ Cryptodrilling พร้อมที่จะดูแลธุรกิจขุดคริปโตของคุณ!

Facebook Page | Facebook Messenger | Line OA | 089-485-0688

Share this Article:

Share this Article:

line

Recent Articles

line